section-5855f4e
Marketing ชวนเม้าท์ มาทำความรู้จัก Introvert Marketing การตลาดแบบใหม่ที่เข้าใจคนเงียบ
คำว่า Introvert Marketing เป็นแนวคิดที่น่าสนใจและตรงข้ามกับการตลาดแบบดั้งเดิมที่เน้นความดัง และการดึงดูดความสนใจอย่างรุนแรง มาทำความเข้าใจรายละเอียดกันก่อน แล้วค่อยเปรียบเทียบกับแนวทางอื่นๆ ให้เห็นภาพชัดเจน Introvert Marketing คืออะไร? Introvert marketing คือกลยุทธ์การตลาดที่ออกแบบมาเพื่อเข้าถึงและดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่เป็น introvert หรือผู้ที่มีลักษณะนิสัยขี้อายหรือไม่ชอบความสนใจมากเกินไป ในขณะที่การตลาดทั่วไปอาจจะเน้นการกระตุ้นความสนใจและการมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบที่ชัดเจน เช่น การจัดกิจกรรมหรือการโฆษณาที่โดดเด่น Introvert marketing จะเน้นการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจ และไม่รู้สึกกดดันที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์หรือแสดงออกมากเกินไป กลยุทธ์นี้อาจจะรวมถึง: การให้ข้อมูลที่ชัดเจนและมีคุณค่า การใช้เนื้อหาที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและไม่รบกวน การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและไม่เป็นการบังคับ ลักษณะเด่นของ Introvert Marketing น้ำเสียง: สุภาพ จริงใจ ไม่กระโตกกระตาก การสื่อสาร: เน้นเขียนที่มีคุณค่า ไม่หวือหวา เช่น บทความ ลิสต์อีเมล บล็อก เนื้อหา: เชิงลึก เจาะใจ เจาะความรู้สึก ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม กลยุทธ์: คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง, SEO, email, รีวิวจากลูกค้า จุดเด่น: สร้างความสัมพันธ์ระยะยาว ไม่เร่งขายแต่เร่งความเข้าใจ การเปรียบเทียบกับ Marketing แบบอื่น ประเภท Introvert Marketing Extrovert Marketing (แบบดั้งเดิม) เป้าหมาย สร้างความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เรียกร้องความสนใจทันที เครื่องมือหลัก บทความ, Email, SEO, Podcast โฆษณา, Influencer, Viral content โทน เงียบ นิ่ง ลึก สดใส ดัง เร้าใจ การเน้นย้ำ การให้คุณค่า ความเชื่อใจ การขาย การสร้าง FOMO Fear of Missing out ตัวอย่างธุรกิจ Coach, นักบำบัด, อสังหาฯ เฉพาะกลุ่ม สินค้าแฟชั่น, อีเวนต์, แคมเปญเร็วแรง Introver Marketing เหมาะกับใคร? แบรนด์ที่ขายสินค้าหรือบริการที่ต้อง “อธิบาย” หรือ “ทำความเข้าใจ” เช่น บ้านราคา 20 ล้าน+, โปรแกรม coaching, ธุรกิจเฉพาะกลุ่ม กลุ่มเป้าหมายที่ “ไม่ชอบถูกขาย” ชอบหาข้อมูลเอง เช่น introvert, smart buyer, high involvement buyer โดยรวมแล้ว introvert marketing จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายและสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระ โดยไม่รู้สึกว่าต้องทำตามความคาดหวังหรือแรงกดดันจากการตลาด หรืออธิบายง่ายๆ คือ **Introvert Marketing** คือแนวทางการตลาดที่ใช้ความเงียบ เรียบง่าย และจริงใจเป็นจุดแข็ง มุ่งเน้นไปที่ “connection over attention” หรือการเชื่อมโยงกับลูกค้าด้วยเนื้อหาที่ลึก ซื่อสัตย์ และสม่ำเสมอ มากกว่าการเรียกร้องความสนใจแบบฉาบฉวย
ขนาดรูป Facebook สำคัญยังไง ทำไมต้องรู้?
เพราะ Facebook คือโซเชียลมีเดียยอดฮิตที่ใครๆ ก็ใช้! การทำคอนเทนต์ให้ปังบน Facebook จึงสำคัญมาก โดยเฉพาะรูปภาพและวิดีโอ ที่ต้องโดดเด่น สะดุดตา แต่เดี๋ยวก่อน! รู้หรือไม่ว่า Facebook มีการอัปเดตขนาดรูปภาพอยู่เรื่อยๆ อย่าปล่อยให้คอนเทนต์ของคุณตกยุค! Content Shifu รวบรวม 7 ไอเดีย ขนาดรูป Facebook ปี 2025 สำหรับ New Pages Experience มาให้แล้ว! 1. อัลบั้มแนวตั้ง (1+2, 1+3, 2+3) – เล่าเรื่องราวผ่านอัลบั้มรูปแนวตั้ง: ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องราวสินค้า รีวิว หรือแม้แต่การ์ตูนสั้นๆ อัลบั้มแนวตั้งช่วยให้คุณจัดเรียงเนื้อหาได้อย่างเป็นระเบียบ สวยงาม และดึงดูดสายตา – จัดวางภาพหน้าปกสุดครีเอท: ใช้รูปปกเป็นตัวดึงดูดความสนใจ เช่น ภาพ Highlight สินค้า ภาพตัวละครหลัก หรือภาพสรุปเนื้อหา – ขนาดรูปที่แนะนำ: 1+2: เหมาะกับการนำเสนอเนื้อหาสั้นๆ กระชับ รูปปก: 960×1920 px (1:2) เน้นความสูงของภาพ รูปเนื้อหา: 1920×1920 px (1:1) แสดงรายละเอียดเพิ่มเติม 2 ภาพ 1+3: เหมาะกับการนำเสนอเนื้อหาที่ต้องการรายละเอียดมากขึ้น รูปปก: 1280×1920 px (2:3) รูปเนื้อหา: 1920×1920 px (1:1) แสดงรายละเอียดเพิ่มเติม 3 ภาพ 2+3: เหมาะกับการเล่าเรื่องที่ต้องการภาพเปิด 2 ภาพ รูปปก: 1920×1920 px (1:1) 2 ภาพแรกช่วยสร้างความน่าสนใจ รูปเนื้อหา: 1920×1280 px (3:2) แสดงรายละเอียดเพิ่มเติม 3 ภาพ – ข้อควรระวัง: จำนวนรูปในอัลบั้มมีผลต่อ Layout การแสดงผล หากใส่รูปเกิน Facebook จะปรับ Layout ให้อัตโนมัติ Tagline: “อัลบั้มแนวตั้ง เล่าเรื่องได้โดนใจ จัดวางรูปสวย ใครเห็นก็ต้องกดไลค์” 2. อัลบั้มแนวนอน (1+2, 1+3, 2+3) – เหมาะกับคอนเทนต์ยาวๆ หลายหน้า: เช่น การ์ตูนตอนๆ Infographic บทความ เมนูอาหาร – ดึงดูดคนอ่านให้คลิกเข้ามาดู: ใช้รูปหน้าปกที่น่าสนใจ กระตุ้นความอยากรู้ – ขนาดรูปที่แนะนำ: 1+2: รูปปก 1920×960 px (2:1) รูปเนื้อหา 1920×1920 px (1:1) 1+3: รูปปก 1920×1280 px (3:2) รูปเนื้อหา 1920×1920 px (1:1) 2+3: รูปปก 1920×1920 px (1:1) รูปเนื้อหา 1920×1920 px (1:1) – ข้อควรระวัง: จำนวนรูปในอัลบั้มมีผลต่อ Layout การแสดงผล Tagline: “อัลบั้มแนวนอน เล่าเรื่องยาวๆ ได้ไม่มีสะดุด คนอ่านเพลิน คอนเทนต์ปัง!” 3. อัลบั้มจัตุรัส (4 รูป) – โชว์สินค้า / ภาพกิจกรรมแบบ 4 ช่อง: จัดวางรูปภาพให้เป็น Grid สวยงาม – ขนาดทุกรูป: 1920×1920 pxread more
มาเก็ตติ้งชวนเม้าท์! อัปเดตเทรนด์ผู้บริโภคในปี 2025 ที่แบรนด์ต้องรู้ไว้
มาเก็ตติ้งชวนเม้าท์! อัปเดต เทรนด์ผู้บริโภค ในปี 2025: การเข้าใจ 5 + 1 รุ่นผู้บริโภคที่แบรนด์ต้องเข้าใจ 2025 ยุคที่เทรนด์ของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงสูง ทั้งเรื่องเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคในแต่ GEN การที่แบรนด์เข้าใจลึกซึ้งถึงความต้องการของคนแต่รุ่น ซึ่งช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตอบโจทย์ และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด คือส่วนสำคัญที่จะทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึงและดึงดูดลูกค้าจากทุกรุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาเก็ตติ้งชวนเมาท์วันนี้ชวนมาวิเคราะห์ 5 เจนกับ เทรนด์ผู้บริโภค ที่แบรนด์ควรใส่ใจ! ซิลเวอร์เจน (Silver Gen): เกิดปี 1945 และก่อนหน้า ซิลเวอร์เจนให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและการเชื่อมต่อกับครอบครัว พวกเขามักมองหาสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการเหล่านี้ คุ้นชินกับการรับข้อมูลการตลาดจากแผ่นพับ โฆษณาทางวิทยุ หรือร้านค้าในชุมชน เทรนด์สำคัญ: การดูแลสุขภาพ และสินค้าเพื่อสุขภาพ เช่น วิตามิน หรืออุปกรณ์ช่วยการเคลื่อนไหว เบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomers): เกิดปี 1946–1964 เบบี้บูมเมอร์เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกในการใช้งานสินค้าและบริการที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต แบรนด์สามารถโฆษณาผ่านโทรทัศน์ หรือการโปรโมตผ่านคอมมูนิตี้/ดารา/เซเลปบริตี้ ซึ่งยังคงมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ เทรนด์สำคัญ: ความสะดวกสบาย การให้บริการที่ดี สินค้าที่ใช้งานง่าย หรือบริการที่เข้าถึงได้สะดวก เช่น การสั่งซื้อออนไลน์พร้อมจัดส่ง พร้อมทั้งการให้คำปรึกษาและบริการหลังการขายที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ เจน X (Gen X): เกิดปี 1965–1980 เจน X เป็นกลุ่มที่มองหาคุณภาพของสินค้าและบริการเป็นสำคัญ สำหรับคนเจนนี้มักจะเปรียบเทียบราคากับความคุ้มค่าที่ได้รับ “สินค้าถูกและดี” คือสิ่งที่คนเจนนี้มักมองหา แบรนด์สามารถทำการตลาดผ่านโปรโมชั่นที่เน้นส่วนลด หรือของแถมจะช่วยดึงดูดความสนใจ รวมทั้งผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งยังคงมี Facebook เป็นพื้นที่ที่เข้าถึงคนจนนี้ได้ง่ายที่สุด เทรนด์สำคัญ: คุณภาพ ความคุ้มค่า สินค้าที่ทนทาน และใช้งานได้นานจะได้รับความนิยม โดยโปรโมชั่นลด แลก แจก แถมช่วยดึงดูดความสนใจได้อย่างดี มิลเลนเนียลส์ (Gen Y): เกิดปี 1981–1996 มิลเลนเนียลส์มักให้ความสำคัญกับประสบการณ์มากกว่าการครอบครองสินค้า คนเจนนี้มองหาความคุ้มค่าในเรื่องของประสบการณ์และความเป็นส่วนตัว โดยจะไม่ได้เน้นการเปรียบเทียบความคุ้มค่าผ่านแค่ราคาเท่านั้น แต่จะวัดการได้รับการให้คุณค่าสำหรับตัวเองในการซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ อีกด้วย “ของดีไม่จำเป็นต้องถูก” แต่ต้องเสริมคุณค่าบางอย่างจะเพิ่มความพึงพอใจให้กับคนเจนนี้ได้อย่างดี แบรนด์สามารถโปรโมตผ่านออนไลน์แพตฟอร์ม Instagram, TikTok, X, Facebook และ Threads เพื่อเข้าถึงคนเจนนี้ได้ เทรนด์สำคัญ: แบรนด์ที่สร้างกิจกรรม เช่น อีเวนต์เพื่อสังคม หรือคอนเทนต์ที่น่าสนใจ เป็นต้น จะช่วยโอกาสดึงดูดคนในเจนมิลเลนเนียลส์ได้ดี การปรับแต่งสินค้าให้ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคล เช่น การเลือกสีหรือดีไซน์เฉพาะตัว ช่วยเพิ่มความพึงพอใจ เจน Z (Gen Z): เกิดปี 1997–2012 คนเจน Z เป็นกลุ่มที่เติบโตมากับโลกดิจิทัลเต็มรูปแบบจึงให้ความสำคัญกับการสนับสนุนแบรนด์ที่มีความยั่งยืนและสร้างผลกระทบในเชิงบวกต่อสังคม และยังเป็นกลุ่มที่สนใจต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดด้วยดังนั้นการทำ Green Marketing ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ และแบรนด์ที่สร้างแบรนดิ้งที่เปิดกว้างให้กับความเท่าเทียม และการยอมรับความแตกต่างจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับลูกค้าเจนนี้ได้อย่างดี สำหรับการทำการตลาดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อาจจะไม่หลากหลายเท่าคนเจน Y แบรนด์ควรเน้นไปที่ TikTok และ Instagram จะทำให้เข้าถึงคนเจนนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทรนด์สำคัญ: ความยั่งยืน ความหลากหลาย และการใส่ใจสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้บรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ เป็นต้น อัลฟา เจเนอเรชัน (Alpha Generation): เกิดปี 2010 – 2025 เด็ก ๆ ในเจเนอเรชันอัลฟา เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและอุปกรณ์ดิจิทัล ทำให้พวกเขาชำนาญและคุ้นเคยกับอุปกรณ์เหล่านี้มากกว่าเจเนอเรชันอื่น ๆ แบรนด์สามารถการเลือกใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล และแอปพลิเคชั่นที่เหมาะสมกับเด็ก ๆ เพื่อสื่อสารและเข้าถึงคนเจนนี้ อาทิเช่น การสื่อสารผ่านเกมออนไลน์และการสร้างคอนเทนต์ที่มีส่วนร่วมอย่าง YouTube Kids หรือ แอปพลิเคชั่นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เป็นต้น รู้เขารู้เรา..รบร้อยครั้งชนะทุกครั้ง! การเข้าใจ เทรนด์ผู้บริโภค และพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละเจนเนอเรชันจะช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างแคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ เพราะคนในแต่ GEN มีความต้องการและความสนใจที่แตกต่างกัน ดังนั้นการตอบสนองต่อความต้องการเหล่านี้ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสมจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าในปี 2025 นี้! สอบถามแพ็คเกจพร้อมรับราคาพิเศษคลิกเลย ที่นี้
Marketing ชวนเม้าท์! กลยุทธ์ปั้นแบรนด์ให้โดนเด่นเหนือคู่แข่ง ด้วย Character Marketing
Marketing ชวนเม้าท์! กลยุทธ์ปั้นแบรนด์ให้โดนเด่นเหนือคู่แข่ง ด้วย Character Marketing ไม่มีใครไม่รู้จักน้องหมีเนย!! ดาราสาวสุด HOT ครองใจหนุ่ม ๆ สาว ๆ ทั่ววงการในตอนนี้ คาเร็กเตอร์สุดน่ารักจากแบรนด์ BUTTERBEAR ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เป็นเคสตัวอย่างสำหรับแบรนด์อื่น ๆ ที่อยากสร้างแบรนด์ให้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง ซึ่งในยุคสมัยนี้ต้องใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างและสร้างสรรค์ หนึ่งในเทคนิคที่ได้รับความนิยมและผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือ “Character Marketing” หรือการตลาดที่ใช้ตัวละครเป็นตัวแทนแบรนด์ เทคนิคนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้แบรนด์ของเราน่าจดจำ แต่ยังช่วยสร้างความผูกพันกับลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง มาเม้าท์กันว่า Character Marketing คืออะไร? แบรนด์สามารถใช้เพื่อปั้นแบรนด์ให้เหนือคู่แข่งได้อย่างไร! Character Marketing คืออะไร? การสร้างตัวละครสำหรับแบรนด์เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจกับจุดยืนและค่านิยมของแบรนด์ ตัวละครที่สร้างขึ้นควรสะท้อนถึงคุณสมบัติเหล่านั้น เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกเชื่อมโยงและมีส่วนร่วมกับแบรนด์ได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น ตัวละครอาจเป็นผู้นำที่มีไหวพริบ นักผจญภัยที่ชอบความท้าทาย หรือแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้ เป็นต้น ซึ่งตัวละครเหล่านี้สามารถเป็นสัตว์ คน หรือแม้กระทั่งวัตถุไม่มีชีวิตที่มีคุณสมบัติพิเศษ ตัวละครเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อสื่อสารค่านิยม สินค้าหรือบริการของแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือตัวละครเหล่านี้ควรสามารถสื่อสารได้ทั้งในสภาพแวดล้อมออนไลน์และออฟไลน์ ทริคการสร้างตัวละครสำหรับแบรนด์ กำหนดเอกลักษณ์แบรนด์: ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจว่าแบรนด์ของเราต้องการสื่อสารอะไร มีค่านิยมอย่างไร เพื่อที่จะสามารถสร้างตัวละครที่สอดคล้องกับแบรนด์ได้อย่างเหมาะสม ออกแบบตัวละคร: ตัวละครควรมีลักษณะที่น่าจดจำและสามารถสื่อถึงแบรนด์ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นผ่านท่าทาง สีสัน หรือลักษณะนิสัย ใช้ตัวละครในการสื่อสาร: ใช้ตัวละครในการทำการตลาดและสื่อสารกับลูกค้าผ่านทางโฆษณา โซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งกิจกรรมส่งเสริมการขาย การปรับใช้ตัวละครในกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ ในโลกของการตลาดออนไลน์ ตัวละครสามารถใช้งานได้หลากหลาย เช่น การนำเสนอผ่านเนื้อหาวิดีโอ, โซเชียลมีเดีย, และแคมเปญโฆษณา การใช้ตัวละครในโซเชียลมีเดียช่วยให้เนื้อหามีความสดใหม่และน่าติดตาม และยังช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมจากผู้ติดตาม นอกจากนี้ยังสามารถใช้ตัวละครเหล่านี้ในการส่งข้อความส่งเสริมการขายและข้อมูลผลิตภัณฑ์ให้ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น Character Marketing ไม่เพียงแต่เป็นเทคนิคที่น่าสนใจและสนุกสนานในการทำการตลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการสร้างแบรนด์ที่มีความโดดเด่นและความผูกพันกับลูกค้า ทำให้เอเจนซี่การตลาดและธุรกิจต่างๆ สามารถเข้าถึงและรักษาฐานลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง หากต้องการทำการตลาดออนไลน์ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีควรมีผู้ช่วยที่ดีคอยให้คำปรึกษา และอัพเดตเทรนด์การตลาดอยู่ตลอดเวลา Crosswalk Agency ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 10 ปี พร้อมช่วยสร้าง Branding วางแพลน Marketing และมีทีม Production คุณภาพให้บริการ ไม่ว่าจะแบรนด์เล็กหรือแบรนด์ใหญ่ก็ทำการตลาดให้ปังได้!! สอบถามแพ็คเกจพร้อมรับราคาพิเศษคลิกเลย ที่นี้
Marketing ชวนเม้าท์! อยากทำ SEO ต้องเริ่มจากการมีเว็บไซต์จริงไหม
การทำ SEO (Search Engine Optimization) หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับในเครื่องมือค้นหา เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับธุรกิจออนไลน์ในยุคดิจิทัล แต่หลายคนอาจสงสัยว่า “การทำ SEO จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ของตัวเองจริงๆ ไหม?” บทความนี้จะพาไปค้นหาคำตอบว่าการมีเว็บไซต์นั้นจำเป็นต่อการทำ SEO อย่างไรและทำไมถึงสำคัญต่อธุรกิจของเรา Search Engine Optimization คืออะไร? ก่อนจะเข้าใจถึงความสำคัญของเว็บไซต์กับการทำ Search Engine Optimization มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Search Engine Optimization คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับในเครื่องมือค้นหา เช่น Google หรือ Bing โดยเน้นที่การเพิ่มความเห็นได้ภายใต้คำค้นที่เกี่ยวข้องกับบริการหรือสินค้าที่เรานำเสนอ ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์และโอกาสในการแปลงผู้เข้าชมเป็นลูกค้า เว็บไซต์สำคัญอย่างไร? การมีเว็บไซต์เป็นฐานข้อมูลของแบรนด์ในโลกออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลของเราได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้เว็บไซต์ยังเป็นแพลตฟอร์มที่ให้เราควบคุมเนื้อหาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำ SEO เพราะเนื้อหาที่มีคุณภาพสามารถช่วยให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับได้ดีขึ้น และนอกเหนือจากนั้นการมีเว็บไซต์ที่ดีเรายังสามารถนำไปทำ SEM ได้อีกด้วย ดูความแตกต่างได้ที่บทความนี้เลย แฝดคนละฝา SEO+SEM ต่างกันอย่างไร ทำไมการมีเว็บไซต์ถึงสำคัญในการทำ SEO ในยุคนี้? ปรับปรุงอัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหา: เว็บไซต์ที่มีการออกแบบและเนื้อหาที่ดีสามารถช่วยให้ Google รักเว็บไซต์ของเรามากขึ้น สร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า: เว็บไซต์ที่มีการจัดการข้อมูลที่ดีและน่าเชื่อถือสามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น ให้ข้อมูลที่สมบูรณ์และละเอียดยิ่งขึ้น: ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลของสินค้าหรือบริการได้อย่างครบถ้วนและเข้าใจง่าย เทคนิคการทำ SEO โดยไม่มีเว็บไซต์ ถึงแม้การมีเว็บไซต์จะมีประโยชน์มากสำหรับการทำ SEO แต่ก็มีบางเคสที่ไม่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์: โซเชียลมีเดีย: สร้างโปรไฟล์ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและใช้เทคนิค SEO เช่น การใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องในโพสต์ Google My Business: สำหรับธุรกิจท้องถิ่น การใช้ Google My Business เป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มการมองเห็นใน Google Maps และการค้นหาท้องถิ่น แพลตฟอร์มอื่นๆ: เช่น YouTube หรือ Pinterest ที่การค้นหาในแพลตฟอร์มเหล่านี้ยังขึ้นอยู่กับคำค้นที่เกี่ยวข้อง การมีเว็บไซต์ในยุคดิจิทัลนี้เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการทำ SEO แม้ว่าจะสามารถใช้ช่องทางอื่นๆ ในการทำการตลาดออนไลน์ได้ก็ตาม แต่เว็บไซต์ยังคงเป็นฐานข้อมูลหลักที่ทรงพลังสำหรับการสร้างแบรนด์และการขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ การลงทุนในเว็บไซต์ที่ดีและการปรับใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการแปลงผู้เยี่ยมชมเป็นลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการทำการตลาดออนไลน์ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี การมีเว็บไซต์จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ปรึกษา Crosswalk Agency ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 10 ปี พร้อมช่วยสร้าง Branding วางแพลน Marketing และมีทีม Production คุณภาพให้บริการ ไม่ว่าจะแบรนด์เล็กหรือแบรนด์ใหญ่ก็ทำการตลาดให้ปังได้!! สอบถามแพ็คเกจพร้อมรับราคาพิเศษคลิกเลย ที่นี้
Marketing ชวนเม้าท์! เทคนิคการตลาดกับการใช้ Social Media ให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็วขึ้น
การตลาด ในโลกดิจิทัลไม่เหมือนกับการขายออฟไลน์ที่เราสามารถเห็นปฏิกิริยาและอารมณ์ของลูกค้าได้โดยตรง การขายออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียท้าทายขึ้นเพราะเราไม่ได้เจอกับลูกค้าตัวต่อตัว แต่มีเทคนิค การตลาด ที่สามารถช่วยให้เราเข้าถึงและกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็วขึ้น การเข้าใจผู้บริโภคผ่านข้อมูล โซเชียลมีเดียมีเครื่องมือที่ช่วยให้เราเก็บข้อมูลและวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคได้ ตัวอย่างเช่น การใช้ Google Analytics หรือ Facebook Insights จะช่วยให้เราเข้าใจว่าผู้บริโภคมีความสนใจอย่างไร พวกเขาใช้เวลาบนเพจหรือโพสต์ของเรามากน้อยแค่ไหน ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราปรับเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น และสามารถนำไปวางแผน การตลาด เพื่อนำเสนอข้อมุลให้ตรงกลุ่มเป้าหมายและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น ให้ลูกค้าร่วม Reaction กับแบรนด์หรือสินค้า เพื่อสร้างความคุ้นชิน การใช้โพลล์, ไลฟ์สตรีม, และ Q&A ในโซเชียลมีเดียช่วยให้เกิดการโต้ตอบระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค การมีส่วนร่วมเหล่านี้ทำให้ผู้บริโภครู้สึกเหมือนได้มีส่วนร่วมในการสร้างหรือการเลือกผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถสร้างความไว้วางใจและกระตุ้นให้พวกเขาตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น ใช้ VDO และสร้าง Storytelling ให้เกิดความรู้สึกอินกับสินค้า วิดีโอและสตอรี่ในโซเชียลมีเดียเป็นวิธีที่ดีในการเล่าเรื่องราวของแบรนด์และผลิตภัณฑ์ การเล่าเรื่องที่ดึงดูดใจช่วยให้ผู้บริโภคเห็นประโยชน์และคุณค่าของสินค้า นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้บริโภคเกิดอารมณ์และความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์ ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น ใช้ Ads Campaign และ Influencer กระตุ้นความรู้สึกต้องการซื้อ โฆษณาที่เจาะจงกลุ่มเป้าหมายบนโซเชียลมีเดียช่วยให้แบรนด์สามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการไปยังกลุ่มผู้บริโภคที่มีแนวโน้มจะสนใจสูงสุด นอกจากนี้การทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามเป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกับแบรนด์ยังสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือและช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็วขึ้น ทุกคนสามารถดูวิธีเลือกว่าจะใช้ Influencer หรือ KOL ได้ที่นี้เลย วิธีเลือกใช้ Influencer หรือ KOL Monitor และพัฒนาคอนเทนต์อยู่เสมอ เทรนด์มาไวไปไวเป็นอีกหนึ่งข้อที่นักการตลาดต้องเกาะติด พฤติกรรมของลุกค้าก็เช่นกัน ดังนั้นต้องมีการติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์จากกิจกรรมต่างๆ บนโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง การใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อดูว่ากลยุทธ์ใดทำงานได้ดีและไม่ดีจะช่วยให้แบรนด์สามารถปรับปรุงและหาวิธีใหม่ๆ ในการดึงดูดและกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น การใช้โซเชียลมีเดียในการตลาดไม่เพียงแต่เกี่ยวกับการโปรโมตผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับผู้บริโภค การใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมและการตอบสนองต่อความต้องการและความสนใจของผู้บริโภคจะช่วยให้แบรนด์สามารถเพิ่มยอดขายและสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีได้ อยากขายสินค้าได้ไว อยากให้แบรนด์ติดหู สินค้าติดตลาด มีอินฟลูฯรีวิว Crosswalk Agency พร้อมลุย! Crosswalk Agency ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 10 ปี พร้อมช่วยสร้าง Branding วางแพลน Marketing สอบถามข้อมูลคลิกเลย @crosswalkagency
Marketing ชวนเมาท์ กลยุทธ์เปลี่ยนผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้กลายเป็นลูกค้าได้ง่าย ๆ
กลยุทธ์เปลี่ยนผู้เข้าชม”เว็บไซต์”ให้กลายเป็นลูกค้าได้ง่าย ๆ การเปลี่ยนผู้เข้าชม”เว็บไซต์”ให้กลายเป็นลูกค้าไม่ใช่เพียงการขายสินค้าหรือบริการ แต่เป็นศิลปะและวิทยาการที่ต้องใช้กลยุทธ์และเทคนิคที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มการแปลงจากผู้เยี่ยมชมเป็นผู้ซื้อจริง ในบทความนี้ จะแนะนำวิธีการที่เอเจนซี่การตลาดสามารถใช้เพื่อดึงดูดและเปลี่ยนผู้เยี่ยมชม เว็บไซต์ ไปสู่การเป็นลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์และการใช้ SEO การทำ SEO หรือการเพิ่มประสิทธิภาพ เว็บไซต์ สำหรับการค้นหาเป็นกลยุทธ์หลักในการดึงดูดผู้เข้าชมที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้อง การใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม การสร้างเนื้อหาที่มีค่าและการเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างหน้าเว็บจะช่วยให้ เว็บไซต์ ปรากฏอยู่ในอันดับสูงของผลการค้นหา ทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่ผู้เข้าชมจะเปลี่ยนเป็นลูกค้า การใช้ป๊อปอัพและการเสนอข้อเสนอพิเศษ การใช้ป๊อปอัพบน เว็บไซต์ สามารถเป็นวิธีที่ดีในการจับความสนใจของผู้เข้าชม โดยเฉพาะเมื่อนำเสนอข้อเสนอพิเศษหรือส่วนลด ต้องแน่ใจว่าการใช้ป๊อปอัพเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และไม่รบกวนประสบการณ์ผู้ใช้ในทางลบ การสร้างฟอร์มติดต่อที่ง่ายและชัดเจน ฟอร์มติดต่อหรือฟอร์มลงทะเบียนที่ออกแบบมาอย่างดีสามารถช่วยให้ผู้เข้าชม เว็บไซต์ สนใจลงทะเบียนหรือติดต่อสอบถามได้ง่ายขึ้น ต้องมั่นใจว่าฟอร์มเหล่านี้ง่ายต่อการใช้งานและไม่ยุ่งยากหรือใช้เวลานานเกินไปในการกรอก การใช้สื่อวิดีโอและ Infographic สื่อวิดีโอและอินโฟกราฟิกสามารถช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและแปลงการขายได้ วิดีโอที่มีเนื้อหาน่าสนใจและอินโฟกราฟิกที่ให้ข้อมูลสรุปสามารถช่วยให้ผู้เข้าชมเข้าใจข้อมูลได้เร็วขึ้นและทำให้ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น การใช้บล็อกและเนื้อหาเพื่อสร้างความเชื่อมั่น การมีบล็อกที่มีเนื้อหาอัปเดตเป็นประจำไม่เพียงแต่ช่วยในเรื่อง SEO เท่านั้น แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นและแสดงถึงความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมด้วย การนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการแปลงผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้า การเพิ่มอัตราการแปลงผู้เข้าชม เว็บไซต์ ให้กลายเป็นลูกค้าไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้ภายในหนึ่งคืน แต่ด้วยการใช้กลยุทธ์ที่ถูกต้องและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง สามารถสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจได้ อยากสร้างเว็บไซต์เพื่อการเติบโตของธุรกิจ ปรึกษา Crosswalk Agency ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 10 ปี พร้อมช่วยสร้าง Branding วางแพลน Marketing และมีทีม Production คุณภาพให้บริการ ไม่ว่าจะแบรนด์เล็กหรือแบรนด์ใหญ่ก็ทำการตลาดให้ปังได้!! คลิกที่นี้เลย
มาเก็ตติ้งชวนเม้าท์! แบรนด์การตลาดเอง VS จ้างเอเจนซี่ทำการตลาด เลือก Choice ไหนดี?
มาเก็ตติ้งชวนเม้าท์! แบรนด์การตลาดเอง VS จ้าง เอเจนซี่ ทำการตลาด เลือก Choice ไหนดี? ในยุคดิจิทัลที่มีการแข่งขันทางธุรกิจรุนแรงสุด ๆ การตลาดจึงเป็น 1 ในคีย์สำคัญม๊ากมาก ที่สร้างความแตกต่างและนำพาแบรนด์ไปสู่ความ Success ได้! เจ้าของธุรกิจอาจจะต้องเลือกว่าควรจะทำการตลาดด้วยตนเอง หรือจ้าง เอเจนซี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของธุรกิจ ทำการตลาดแบบ Marketing In-House ข้อดี การควบคุมเต็มที่: การทำการตลาดเองช่วยให้คุณสามารถควบคุมทุกขั้นตอนการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน การออกแบบ การเลือกเครื่องมือ และการดำเนินการ สามารถปรับเปลี่ยนแผนงานได้ทันทีตามความต้องการของธุรกิจ ความเข้าใจในแบรนด์: ไม่มีใครรู้จักแบรนด์ได้ดีเท่ากับตัวเราเอง การทำการตลาดเองช่วยให้แบรนด์สามารถถ่ายทอดความเป็นแบรนด์ได้อย่างถูกต้องและตรงประเด็น ลดต้นทุน: การทำการตลาดเองอาจช่วยลดต้นทุนในบางกรณี โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีงบประมาณจำกัด การใช้เครื่องมือออนไลน์ฟรีหรือมีราคาย่อมเยาช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ ข้อเสีย ความเชี่ยวชาญที่จำกัด: แม้ว่าอาจมีความรู้เรื่องการตลาด แต่บางครั้งการขาดประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอาจทำให้การตลาดไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง ใช้เวลาและทรัพยากรมาก: การทำการตลาดเองต้องใช้เวลามากในการวางแผน ดำเนินการ และติดตามผล ซึ่งอาจทำให้ต้องแบ่งเวลาจากการดูแลธุรกิจหลัก ความซับซ้อนของเครื่องมือการตลาด: เครื่องมือการตลาดออนไลน์มีความหลากหลายและซับซ้อน บางครั้งการเรียนรู้และใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพต้องการเวลาและความรู้เฉพาะด้าน การจ้างเอเจนซี่ทำการตลาด ข้อดี ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์: เอเจนซี่มีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนกลยุทธ์ การออกแบบกราฟิก การใช้สื่อออนไลน์ หรือการวิเคราะห์ข้อมูล การจ้างเอเจนซี่ช่วยให้คุณได้ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์และความรู้ที่เอเจนซี่มี ประหยัดเวลา: เอเจนซี่สามารถดูแลการตลาดทั้งหมดให้แบรนด์ ทำให้เจ้าของธุรกิจมีเวลาและทรัพยากรในการดูแลธุรกิจหลักมากขึ้น และไม่ต้องกังวลกับรายละเอียดของการตลาด การเข้าถึงเครื่องมือและทรัพยากรที่ทันสมัย: เอเจนซี่มักจะมีการเข้าถึงเครื่องมือการตลาดที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจจะเกินกว่าที่ธุรกิจทั่วไปจะสามารถเข้าถึงได้ เช่นเครื่องมือ Social Listening ที่ช่วยให้เราได้ทั้งข้อมูลที่ลูกค้าต้องการและฟีดแบ็กของลูกค้าจากทั่วพื้นที่ของโลกออนไลน์ อยากรู้เครื่องมือ Social Listening คืออะไรคลิกเลย “Social Listening คืออะไรทำไมนักการตลาดไม่ควรมองข้าม” เอเจนซี่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการทำแบรนด์ค่อนข้างสูง และเมื่อแบรนด์แข็งแกร่งก้จะช่วยให้แบรนด์ใช้งบการตลาดที่คุ้มค่ากว่า เราจะเห็นได้ว่าแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ชอบจ้างเอเจนซี่ทำแบรนด์ให้ ข้อเสีย ค่าใช้จ่ายสูง: การจ้างเอเจนซี่ค่อนข้างจะมีค่าใช้จ่ายสูงโดยเฉพาะเอเจนซี่ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หรือบางเอเจนซี่อาจจะไม่รับโปรเจ็กต์ที่มีงบประมาณค่อนข้างจำกัด การตัดสินใจว่าควรทำการตลาดเองหรือจ้างเอเจนซี่ขึ้นอยู่กับทรัพยากร เวลา และความเชี่ยวชาญของธุรกิจแต่ละประเภท หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและต้องการประหยัดเวลาในด้านการทำการตลาด การจ้างเอเจนซี่ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับเจ้าของธุรกิจ อยากให้แบรนด์ติดหู สินค้าติดตลาด มีอินฟลูฯรีวิว Crosswalk Agency พร้อมลุย! Crosswalk Agency ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 10 ปี พร้อมช่วยสร้าง Branding วางแพลน Marketing และมีทีม Production คุณภาพให้บริการ ไม่ว่าจะแบรนด์เล็กหรือแบรนด์ใหญ่ก็ทำการตลาดให้ปังได้!! สอบถามแพ็คเกจพร้อมรับราคาพิเศษคลิกเลย ที่นี้
มาเก็ตติ้งชวนเม้าท์! ทำไมแบรนด์ใหญ่ต้องแย่งเป็น Sponsor ใน Olympic Games Paris 2024
งานกีฬาระดับโลกอย่างงาน Olympic Games นั้นไม่ใช่แค่เพียงธุรกิจหรือ แบรนด์สายกีฬาเท่านั้นที่แย่งกันจับจองให้มีส่วนร่วมในงาน แต่ แบรนด์ ใหญ่ ๆ ในทุกอุตสาหกรรมต่างจับจ้องเพื่อให้ได้เป็น 1 ใน Sponsorship ของงานนี้ทั้งนั้น! เพราะการได้เป็นผู้สนับสนุนงานกีฬาใหญ่ระดับโลกอย่างโอลิมปิกเกมส์ ไม่เพียงแค่เพิ่มความน่าเชื่อถือของแบรนด์เท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งโอกาสทางการตลาดที่หลากหลาย โดยเฉพาะในงาน Olympic Games Paris 2024 ที่ผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ การเพิ่มการรับรู้ของ แบรนด์ ทั่วโลก (Global Brand Awareness) โอลิมปิกเกมส์เป็นหนึ่งในงานกีฬาที่มีการถ่ายทอดสดไปยังผู้ชมทั่วโลก ด้วยผู้ชมหลายพันล้านคนจากหลากหลายประเทศ แบรนด์ที่เป็นสปอนเซอร์จะได้รับการเปิดเผยในระดับโลก ช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดที่อาจจะยังไม่เคยเข้าถึงมาก่อน การเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ (Brand Credibility) การเป็นผู้สนับสนุนงานโอลิมปิก ซึ่งเป็นงานที่เน้นการรวมพลังและความร่วมมืออย่างทั่วถึง จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือและเป็นมืออาชีพให้กับแบรนด์ ผู้บริโภคมักมองว่าแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับโอลิมปิกเป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพและมีความรับผิดชอบทางสังคม โอกาสในการสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ (Emotional Connection) การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมักสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจ ความสามัคคี และความหวังให้กับผู้ชมทั่วโลก แบรนด์ที่สนับสนุนโอลิมปิกสามารถใช้โอกาสนี้ในการเชื่อมโยงกับผู้บริโภคในระดับอารมณ์ ซึ่งช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและยาวนานยิ่งขึ้นกับกลุ่มเป้าหมาย การสร้างโอกาสในการทำกิจกรรมการตลาดและโปรโมชัน (Marketing and Promotional Opportunities) การเป็นสปอนเซอร์ของโอลิมปิกเปิดโอกาสให้แบรนด์ได้ทำกิจกรรมการตลาดต่าง ๆ เช่น การเปิดตัวสินค้าใหม่ การจัดโปรโมชันพิเศษ และการทำแคมเปญโฆษณาที่สอดคล้องกับธีมของโอลิมปิก ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคและเพิ่มยอดขายได้ การเสริมสร้างความแข็งแกร่งในกลุ่มลูกค้าและคู่ค้า (Strengthening Customer and Partner Relationships) การสนับสนุนโอลิมปิกไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงการสนับสนุนกีฬาระดับโลก แต่ยังแสดงถึงความตั้งใจในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมระดับโลกด้วย การที่แบรนด์ใหญ่เข้าร่วมโอลิมปิกสามารถช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นกับลูกค้า คู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ การเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย (Access to Diverse Consumer Groups) โอลิมปิกเกมส์เป็นงานที่ดึงดูดผู้ชมจากทุกวัย ทุกเพศ ทุกวัฒนธรรม ซึ่งทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายได้ในคราวเดียวกัน การสนับสนุนโอลิมปิกจึงเป็นโอกาสที่แบรนด์สามารถขยายฐานลูกค้าได้ในหลายตลาดพร้อมกัน แม้ว่าการได้เป็น Sponsor ของงานกีฬาระดับโลกจะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แม้จะเป็นแบรนด์ใหญ่เองก็ตาม แต่หากได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งสปอนเซอร์แล้วผลตอบแทนที่แบรนด์จะได้รับนั้นก็คุ้มค่ามาก ๆ เลยทีเดียว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แบรนด์ใหญ่ ๆ จะลงสนามแย่งเป็นสปอนเซอร์ในงาน Olympic Games Paris 2024 อยากอัพเดตข้อมูลเกี่ยวกับการตลาดหรือเครื่องมือการตลาดเจ๋ง ๆ ติดตาม Crosswalk Agency ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 10 ปี พร้อมช่วยสร้าง Branding วางแพลน Marketing และมีทีม Production คุณภาพให้บริการเพื่อสร้างสรรค์ธุรกิจของคุณให้เติบโต
มาเก็ตติ้งชวนเม้าท์! 3 ข้อดีใช้ IG Stories ทำการตลาด
โซเชียลมีเดียที่คนไทยส่วนมากคุ้นเคยก็คงไม่พ้น FACEBOOK และ INSTAGRAM (IG) แต่สำหรับ User ส่วนใหญ่ที่ใช้งาน IG นั้นจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานเป็นหลัก อีกทั้ง user กลุ่มนี้จะติดตามแบรนด์หรือบุคคลที่ตรงกับ ‘ความสนใจ’ ของตัวเองเป็นหลัก ซึ่งวันนี้จะมาชวนเม้าท์กันว่าจะใช้ IG Stoires สำหรับการทำการตลาดให้แบรนด์ยังไงดี! รู้หรือไม่…คนไทยใช้เวลากับมือถือเกือบ 6 ชั่วโมงต่อวัน! อีกทั้ง DataReportal ปี 2023 ได้รีเสิร์ชไว้ว่าคนไทยที่ใช้งานอินสตาแกรมนั้นสูงถึง 17.35 ล้านคน และการทำการโฆษณาอย่าง IG Stories Ads Guide บนอินสตาแกรมสามารถเข้าถึงคนไทยได้ถึง 30% IG Stories – การสร้างคอนเทนต์รูปภาพหรือ VDO ที่สามารถเพิ่มลูกเล่น เช่น ใส่ข้อความ เพลง สถานที่ และสติ๊กเกอร์ได้ โดยความพิเศษอยู่ที่คอนเทนต์อยู่ได้เพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น! IG Stories Ads Guide – การสร้างโฆษณาผ่าน IG Stories เพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าผ่านการ ‘ส่องไอจีสตอรี่’ นั่นเอง 3 ข้อดีทำการตลาดผ่าน IG Stories Ads Guide เพิ่มการมองเห็นได้ดีกว่า – เป็นฟีเจอร์สำหรับการทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น ทั้งช่วยเพิ่ม Engagement ให้กับแบรนด์ได้ง่ายกว่าการโพสต์แบบปกติ ทำให้ IG Stories เหมาะกับการสร้างกระแสให้กับสินค้าตัวใหม่ รวมทั้งรับฟัง Feedback ตรง ๆ จากลูกค้าได้ด้วยฟีเจอร์ Q&A อีกด้วย สร้างความใกล้ชิดระหว่างลูกค้าและแบรนด์ – เพราะข้อจำกัดที่คอนเทนต์จะหายไปใน 24 ชั่วโมง ทำให้รูปภาพหรือ VDO ที่จะโพสต์บน IG Stories มีความเป๊ะน้อยกว่าคอนเทนต์โพสต์บนหน้าโปรไฟล์ แต่ความไม่เป๊ะนี้ช่วยเพิ่มความรู้สึกที่ ‘จริงใจ’ จากแบรนด์สื่อถึง user ได้ดีกว่า ทำให้ IG Stories สามารถสื่อสารและเพิ่มความใกล้ชิดระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ได้ดีกว่านั่นเอง กระตุ้นยอด Follower – INSTAGRAM นั้นไม่มีการยิงแอดเพิ่มยอด Follower ได้ การทำกิจกรรมเพิ่มเพิ่มยอดฯ ผ่าน IG Stories จึงเป้นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ได้ผล อาจจะเป็นกิจกรรมร่วมสนุกแจกของรางวัลหรืออื่น ๆ ด้วยคอนเทนต์ที่น่าดึงดูด เพราะ IG Stories เข้าถึง User ได้ดีว่าโพสต์ปกติที่ไม่ได้ Boost อยู่แล้วนั่นเอง การทำการตลาดนั้นมีหลายส่วนที่ต้องทำร่วมกัน ข้อสำคัญไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มหรือเครื่องมือ แต่ต้องใช้คอนเทนต์ที่มีคุณภาพและกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมกับตัวธุรกิจด้วย การทำการตลาดที่สำเร็จจึงไม่มีสูตรสำเร็จที่แท้จริง อยากใช้กลยุทธ์การตลาดบูสให้ธุรกิจเติบโตบนแพลตฟอร์มออนไลน์ Crosswalk Agency พร้อมซัพพอร์ตและให้คำปรึกษาด้วยความเชี่ยวชาญเรื่องการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 10 ปี พร้อมช่วยสร้าง Branding วางแพลน Marketing และมีทีม Production คุณภาพให้บริการเพื่อสร้างสรรค์ธุรกิจของคุณให้เติบโต สอบถามแพ็คเกจพร้อมรับราคาพิเศษคลิกเลย ที่นี้
มาเก็ตติ้งชวนเม้าท์! TikTok ความเพลิดเพลินสู่การช้อปปิ้ง
ใครไม่รู้จัก TikTok อาจจะไม่ได้เรียกว่า OUT แต่จะเสียโอกาสในการทำการตลาดนะจ๊ะ ได้เวลาลบภาพจำ TikTok = คลิปคนเต้น ออกไป เพราะต๊อกต๊อกกำลังจะแพลตฟอร์มที่รวมเอาทุกความต้องการของ User ไว้ในแอปฯเดียว! TikTok โซเชียลมีเดียที่มาแรงสุด ๆ และยังคงพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังมีในเรื่องของ Search Engine ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียสำหรับคอนเทนต์สนุกสนานเพลิดเพลินสู่การเป็น Market Place ที่ก้าวเข้าสู่ E-commerce บนแอปพลิเคชั่นเดียวด้วยฟีเจอร์ TikTok Shop เคยมั้ยดูคลิปหรือคอนเทนต์แล้วอยากได้ของตาม… ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะต้องออกจาก Social Media แล้วไปกดซื้อในแอปฯ E-commerce อื่น ๆ แต่ TikTok ได้เพิ่มฟีเจอร์ TikTok Shop สำหรับคนรักการช้อปปิ้ง แค่เจ้าของคลิปติดตะกร้าเอาไว้ในคลิป…คนดูเสร็จปุ้ปกดซื้อได้ปั๊ป! ไม่ต้องออกจากแอป สะดวกสุด ๆ แค่กดปุ่ม “ซื้อ” ได้ทันที อีกทั้ง TikTok ยังมีความแนบเนียนในการสร้าง Sponsor Post ที่ user แทบจะไม่รู้สึกเลยว่าโดนยิง Ads อยู่ เพราะ AI ที่มักจะสรรหาคอนเทนต์ที่ถูกจริตมาให้เสมอ ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการทำการตลาดมาก ๆ การเปิดร้านบน TikTok จึงเป็นการเปิดโอกาสการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรงและขยายฐานลูกค้าได้ในวงกว้าง รวมทั้งช่วยกระตุ้นให้ User เกิดการซื้อสินค้าจากคอนเทนต์ของแบรนด์ได้โดยตรงอีกด้วย โอกาสทองในการทำการตลาที่จะเชื่อมโยงกับ “ลูกค้า” ที่ดูคอนเทนต์ และซื้อสินค้าจบได้ในแอปฯ เดียว สิ่งที่น่าจับตามองเพราะนอกจากแบรนด์หรือธุรกิจทั่วไปกำลังทยอยเข้าร่วมแล้ว เหล่าบรรดา High-end Brand อาทิเช่น CHANEL, GUCCI และอื่น ๆ ก็ทยอยเข้าร่วมกับ TikTok แล้วเหมือนกัน หรือในอนาคตอันใกล้อาจจะมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ล้ำหน้าเพิ่มเติมขึ้นอีกก็เป็นได้ อยากสร้างร้านค้าหรือเปิดตลาดใหม่ให้กับแบรนด์บนโลกออนไลน์ Crosswalk Agency พร้อมซัพพอร์ตและให้คำปรึกษาเรื่องการยิง Ads และคอนเทนต์ที่ดีสำหรับสำหรับคลีนิกความงาม ด้วยความเชี่ยวชาญเรื่องการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 10 ปี พร้อมช่วยสร้าง Branding วางแพลน Marketing และมีทีม Production คุณภาพให้บริการเพื่อสร้างสรรค์ธุรกิจของคุณให้เติบโต สอบถามแพ็คเกจพร้อมรับราคาพิเศษคลิกเลย ที่นี้
มาร์เก็ตติ้งชวนเม้าท์! Music Marketing การทำการตลาดด้วยเสียงเพลง
“ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดาน เป็นคนชอบกลนัก” … หนึ่งในบทพระราชนิพนธ์แปลของร. 6 เรื่อง “เวนิสวาณิช” สามารถบ่งบอกได้ถึงความสัมพันธ์ของเสียงเพลงและการรับรู้ของคนเราได้อย่างชัดเจน เพราะเสียงเพลงมีผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก และจินตนาการของมนุษย์ เสียงเพลงจึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือกลยุทธ์ทางการตลาดที่แบรนด์ไม่ควรมองข้ามกันนะ เสียงเพลงกระตุ้นความรู้สึก เคยรู้สึกตามไปกับเพลงที่กำลังฟังกันมั้ยเอ่ย? หลายคนน่าจะตอบว่า…เคยอย่างแน่นอน เพราะเสียงดนตรีนั้นมีผลโดยตรงกับอารมณ์ของมนุษย์ ซึ่งถ้าร้านที่เปิดเพลงโดนใจลูกค้าและเข้ากับบรรยากาศของร้านก็จะช่วยให้ลูกค้านั้นรู้สึกอยากจะกลับมานั่งอีกครั้ง อีกทั้งการเปิดเพลงที่เข้ากับร้านหรือเข้ากับแบรนด์นั้นยังช่วยขับเคลื่อนอารมณ์ของลูกค้าให้มีความรู้สึกร่วมกับแบรนด์ ซึ่งช่วยกระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการของลูกค้าได้อีกด้วย เสียงเพลงบันทึกความทรงจำ เสียงเพลงนั้นทำงานโดนตรงกับสมองทำให้เกิดการจดจำได้อย่างอัตโนมัติ ยิ่งเป็นเสียงเพลงที่ชอบหรือโปรดปรานต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็จะยังคงจำทำนองได้ ถ้าแบรนด์เลือกใช้เสียงเพลงที่ติดหูเพื่อทำให้ลูกค้าได้ยินแล้วนึกถึงแบรนด์ได้อย่างอัตโนมัติ ซึ่งเป็นหารสร้าง Awearness ให้กับแบรนด์ได้ในรูปแบบหนึ่ง รวมทั้งยังเพิ่มโอกาสให้ลูกค้านึกถึงและกลับมาซื้อหรือใช้บริการซ้ำอีกด้วย อัพเดตเพลงตามเทรนด์ เป็นคอนเทนต์ที่อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกแบรนด์ แต่แบรนด์สามารถเข้าร่วมชาเลนจ์เพลงใหม่ของศิลปินที่ปล่อยออกมา เพราะช่วยให้คอนเทนต์ของแบรนด์ไปอยู่ในเทรนด์ได้อย่างดี แต่อาจจะต้องเลือกเพลงหรือศิลปินที่เข้ากับคอนเซ็ปต์ของแบรนด์เพื่อให้ไม่หลุดอัตลักษณ์ของแบรนด์นั่นเอง คอนเทนต์ที่สร้างกับเพลงที่ใช้ การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพนั้นไม่เพียงแค่ภาพสวยเท่านั้น เสียงเพลงก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญในการสร้างคอนเทนต์ เพียงใส่เพลงคนละแนวก็สามารถเปลี่ยน Mood and Tone ของคอนเทนต์นั้นได้อย่างสิ้นเชิง เสียงเพลงยังช่วยสื่อสารอารมณ์ของแบรนด์หรือสินค้าไปยังลูกค้าได้อย่างตรงอารมณ์ เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจคอนเทนต์นั้น ๆ หรืออารมณ์ของแบรนด์ได้มากยิ่งขึ้น Music Marketing อาจจะยังเป็นกลยุทธ์ใหม่ทางการตลาดที่ยังต้องหาวิธีใช้ให้เข้ากับแบรนด์อย่างเหมาะสม แต่ก็มีแบรนด์ใหญ่ ๆ หลายแบรนด์ที่มีใช้เสียงเพลงในการทำการตลาดให้เห็นอยู่บ่อย ๆ สำหรับธุรกิจขนาดเล็กอาจจะไม่ต้องถึงขั้นแต่งเพลงหรือจ้างศิลปินของตัวเอง แต่เลือกใช้เสียงเพลงให้เข้ากับแบรนด์และไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ของศิลปินก็สามารถช่วยกระตุ้นยอดขายให้ปังขึ้นได้แล้ว ทีมการตลาดดีมีมีชัยไปกว่าครึ่ง Crosswalk – Creative Marketing Agency ที่มีครบทุกบริการทางการตลาด พร้อมทีมงานคุณภาพที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี พร้อมสร้าง Branding และวางแพลนการทำการตลาดทั้ง Online และ Offline ให้กับธุรกิจของคุณ สอบถามแพ็คเกจพร้อมรับราคาพิเศษคลิกเลย ที่นี้