Blog

มาเก็ตติ้งชวนเม้าท์! Meta แคมเปญ Ads ไม่เล่นกับจุดด้อย

เมื่อไม่นานที่ผ่านมาหลายคนน่าจะต๊กใจที่จู่ ๆ FACEBOOK กับ INSTAGRAM ก็เอ๋อเร่อกันถ้วนหน้า พาเสียวสันหลังวาบว่าจะโดนแฮกเกอร์สอยแอคเคาน์ตัวเองไปซะเเล้ว แต่พอเช้ามาทุกอย่างก็เป็นปกติสุข เพราะ Meta ได้อัปเดตอัลกอริทึม(อีกแล้ว) วันนี้จะมาชวนเม้าท์เทคนิคไม่ลับสำหรับยิง Ads ไม่โดน Reject กันจ้า   การสร้างชุดโฆษณาบน Meta นั้นมีกฏเหล็กคือตัวโฆษณาจะต้องไม่ละเมิดมาตรฐานชุมชนทั้งของ Facebook และ Instagram! โดยเฉพาะคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับรูปลักษณ์ภายนอกและสุขภาพของกลุ่มธุรกิจคลินิกความงามทั้งหลาย ชุดโฆษณาของคลินิกความงามควรหลีกเลี่ยงคอนเทนต์ที่อาจจะส่งผลต่อความรู้สึกของ Audience ดังนี้ ทำให้ผู้อื่นรู้สึกแย่กับตัวเอง ชี้จุดด้อยเพื่อโน้มน้าวในการซื้อสินค้าหรือบริการ การใช้รูปภาพ Before – After เพื่อการโฆษณาชวนเชื่อ สนับสนุนหรือส่งเสริมรูปลักษณ์ทางร่างกายในเชิงลบ ใช้ประโยชน์จากความไม่มั่นใจในตนเองเพื่อขายสินค้าหรือบริการให้เป็นไปตามมาตรฐานความงามบางอย่าง ข้อความที่สร้างความขุ่นเคือง ซึ่งอาจทำให้ผู้คนรู้สึกต่อรูปลักษณ์ของตนในแง่ลบ ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่ออาหารหรือการออกกำลังกาย มีการเหยียดรูปร่างไม่ว่าประเภทใดก็ตาม   เนื่องจาก Meta ต้องการให้ User ได้รับประสบการณ์ดี ๆ เมื่อเห็นโฆษณาบนแพลตฟอร์ม FACEBOOK กับ INSTAGRAM ทำให้การสร้าง Ads ของกลุ่มธุรกิจคลีนิกความงามมีเงื่อนไขที่ค่อนข้างเข้มงวดกว่าธุรกิจอื่น ๆ    สำหรับคลินิกความงามที่ต้องการสร้าง Ads โฆษณาเพื่อดึงดูดลูกค้า อาจจะต้องแสดงความจริงใจหรือระบุข้อมูลที่ชัดเจนเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ดีในการทำโปรแกรมดูแลต่าง ๆ รวมทั้งเน้นสร้างสรรค์คอนเทนต์ในเชิงบวกมากกว่าใช้จุดด้อยของลูกค้ามาเป็นจุดขาย ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการโดน Reject ชุดโฆษณา และความเสี่ยงต่อการโดนแบนจากการละเมิดกฏของ Meta แต่ถ้าไม่อยากปวดหัวเรื่องยิง Ads แล้วโดนรีเจ็ก มาหา Crosswalk Agency พร้อมซัพพอร์ตและให้คำปรึกษาเรื่องการยิง Ads และคอนเทนต์ที่ดีสำหรับสำหรับคลินิกความงาม ด้วยความเชี่ยวชาญเรื่องการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 10 ปี พร้อมช่วยสร้าง Branding วางแพลน Marketing และมีทีม Production คุณภาพให้บริการเพื่อสร้างสรรค์ธุรกิจของคุณให้เติบโต

มาเก็ตติ้งชวนเม้าท์! SEO / SEM แฝดคนละฝา Online Marketing

ถ้าใครสนใจเกี่ยวกับการทำการตลาดออนไลน์ต้องเคยได้ยิน SEO/SEM กันอยู่บ่อย ๆ แน่นอน แต่เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า SEO และ SEM นั้นเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ที่เหมือนหรือแตกต่างกันยังไง วันนี้มาเม้าท์มอยกันจ้า   SEO (Search Engine Optimization) – การใช้ Keyword ที่เหมาะสมกับตัวธุรกิจที่ ‘ลูกค้า’ หรือคนส่วนใหญ่จะเสิร์ชเพื่อค้นหาเกี่ยวกับธุรกิจนี้ ยิ่งมีคีย์เวิร์ดที่ตรงกับการค้นหาเยอะยิ่งช่วยเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะเข้าถึงเรามากยิ่งขึ้น  SEO เป็นกลยุทธ์ Online Marketing ที่ใช้กับอย่างแพร่หลายบนเว็บไซต์ โดยการคัดเลือกคีย์เวิร์ดแล้วนำมาปรับแต่งให้เข้ากับคอนเทนต์ส่วนต่าง ๆ บนเว็บไซต์ เทคนิค SEO นั้นไม่ต้องเสียเงินแต่ต้องลงทุนในเรื่องของเวลา ซึ่งอาจจะการันตีระยะเวลาไม่ได้ว่าต้องใช้เวลามากน้อยแค่ไหน   SEM (Search Engine Marketing) – การซื้อโฆษณาบน Google เพื่อให้ติด TOP การค้นหาเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งนำ Keyword ของตัวธุรกิจนั้นมาใช้ในชุดโฆษณาแทน เมื่อลูกค้าเห็นเว็บไซต์หรือข้อมูลธุรกิจของเราก่อน จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงธุรกิจของเราได้ก่อนเจ้าอื่น SEM ก็เป็นกลยุทธ์ Online Marketing ที่ใช้กับอย่างแพร่หลายเช่นกัน แต่สำหรับการทำ SEM นั้นมีค่าใช้จ่ายในการซื้อโฆษณา แต่ข้อดีคือใช้ระยะเวลาในการเข้าถึงลูกค้าไม่นาน   การทำ SEO กับ SEM นั้นไม่สามารถพูดได้ว่าวิธีไหนดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ งบประมาณ และระยะเวลาของแต่ละธุรกิจ แต่ถ้าทำคู่กันผลลัพธ์ยิ่งดีขึ้นกว่าทำแค่อย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน ถ้าเป็นหน้าใหม่บนตลาดเลย SEM อาจจะเป้นทางเลือกที่ดีที่จะช่วยให้ลูกค้าคุ้นหน้าคุ้นตาได้ไวกว่า พร้อมทั้งทำ SEO เพื่อเป็นฐานให้ลูกค้าเสิร์ชหาเจอในอนาคต อยากใช้กลยุทธ์การตลาดบูสให้ธุรกิจเติบโตบนแพลตฟอร์มออนไลน์ Crosswalk Agency พร้อมซัพพอร์ตและให้คำปรึกษาด้วยความเชี่ยวชาญเรื่องการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 10 ปี พร้อมช่วยสร้าง Branding วางแพลน Marketing และมีทีม Production คุณภาพให้บริการเพื่อสร้างสรรค์ธุรกิจของคุณให้เติบโต

มาร์เก็ตติ้งชวนเม้าท์! E-mail marketing กลยุทธ์ธุรกิจ B2B ไม่มี OUT

หลายคนอาจจะจะคิดว่า E-mail Marketing เป็นกลยุทธ์การทำการตลาดแบบ Old School ในยุคปัจจุบันที่มีสื่อโซเชียลต่าง ๆ บนโลกออนไลน์มากมายที่เข้าถึงได้ง่ายมากกว่าการส่งอีเมล์ ซึ่งในเชิงการทำการตลาด Bussiness to Bussiness นั้น การส่ง E-mail marketing ยังคงเป็นการทำการตลาดที่ได้มีประสิทธิภาพอยู่ แต่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้ดูทันยุคทันสมัยมากยิ่งขึ้น   นักการตลาดบางคนก็อาจจะไม่เห็นด้วยกับการทำการตลาดโดยใช้ Email marketing ซึ่งก็อาจจะไม่ผิดที่หลายคนคิดแบบนั้น เพราะอาจจะมีความรู้สึกไม่ชอบเวลาได้รับอีเมล์มากเกินไปจนรก Inbox ทำให้ต้องคอยลบอยู่บ่อย ๆ หรือลูกค้าบางคนอาจจะลบ Email marketing ออกโดนไม่ได้อ่านเนื้อหาด้านในก่อนด้วยซ้ำ จนรู้สึกเสียเวลาเปล่าในการทำ Email marketing นั่นเอง   Email Marketing  คือ กลยุทธ์การตลาดที่ใช้อีเมล์เป็นช่องทางในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อส่งข้อความทางการตลาดเชิงพาณิชย์หรือส่งข้อมูลที่มีคุณค่าให้กับผู้รับ เป้าหมายของ Email Marketing คือการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่ง Email Marketing ยังเป็นการทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพในการทำธุรกิจแบบ B2B (Business to Business) หากแบรนด์สามารถออกแบบ Content ใน Email ได้อย่างน่าสนใจและเหมาะสมกับตัวธุรกิจ   กลยุทธ์การทำ Email Marketing การระบุกลุ่มเป้าหมาย: ก่อนที่จะส่งอีเมล์, ควรระบุกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน เช่น บริษัทในอุตสาหกรรมเฉพาะหรือขนาดของธุรกิจที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ ออกแบบเนื้อหาที่เหมาะสม: จัดทำเนื้อหาที่มีคุณค่าและน่าสนใจสำหรับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เช่น บทความเกี่ยวกับแนวโน้มในอุตสาหกรรมสำหรับธุรกิจอุตส่าหกรรม บทความความรู้เกี่ยวกับการตลาดสำหรับแบรนด์สินค้า เป็นต้น ดีไซน์ที่แปลกใหม่ไม่ดูน่าเบื่อ: เนื้อหาที่ดูจริงจังมากเกินไปจนเหมือนขายตรงก็อาจจะทำให้ไม่ดูน่าสนใจ หากเพิ่มลูกเล่นด้วยการดีไซน์หรือรูปภาพที่สื่อสารให้เข้าใจง่ายขึ้น อาจจะช่วยดึงดูดให้ลูกค้าอยากรู้ข้อมุลเพิ่มเติม ช่วงเวลาในการส่งอีเมล์ที่เหมาะสม: กำหนดเวลาที่เหมาะสมในการส่งอีเมล์ กำหนดส่งในวันและเวลาที่มีความน่าสนใจสูงสุดสำหรับกลุ่มเป้าหมาย การติดตามและวัดผล: ติดตามการตอบกลับและการกระทำของผู้รับอีเมล์ เพื่อวัดประสิทธิภาพของแคมเปญ การใช้เครื่องมือวัดผลเช่น Google Analytics เพื่อวิเคราะห์การเปิดอีเมล์ อัตราการคลิก และการเข้าชมเว็บไซต์ เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงให้ Email Marketing มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นในอนาคต   ข้อดีของการทำ Email Marketing สำหรับ B2B กำหนดเป้าหมายได้อย่างตรงจุด: การทำโฆษณาบนสื่อโซเชียลฯ อาจจะกระจายเนื้อหาได้มากกว่า แต่ไม่ได้แปลว่าจะตรงกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ B2B แบบ 100% การส่งอีเมล์จึงสามารถกำหนดกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุดมากกว่า ต้นทุนต่ำ: การส่งอีเมล์มีต้นทุนต่ำกว่าการโฆษณาในสื่ออื่น ๆ เช่น โฆษณาบนสื่อโซเชียล หรือโฆษณาทางการเงิน สามารถวัดผลและติดตามได้: สามารถวัดประสิทธิภาพของแคมเปญ Email Marketing ได้ง่ายโดยตรง โดยการติดตามอัตราการเปิดอีเมล์ อัตราการคลิก และการตอบสนองของผู้รับโดยใช้เครื่องมือ Analysis ต่าง ๆ    กลยุทธ์ทางการตลาดนั้นไม่มีหลักสูตรที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัยทั้งประเภทของธุรกิจ เทรนด์ตลาด และอื่น ๆ นำมาประกอบกันเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับกลุ่มลูกค้า รวมทั้งต้องมีการวางแผนในการสร้างคอนเทนต์และเป้าหมายในการทำการตลาดที่ชัดเจน อยากปรึกษาเรื่องการทำการตลาดแบบ B2B หรือ B2C ปรึกษา Crosswalk – Creative Marketing Agency ที่มีครบทุกบริการทางการตลาด พร้อมทีมงานคุณภาพที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี พร้อมสร้าง Branding และวางแพลนการทำการตลาดทั้ง Online และ Offline ให้กับธุรกิจของคุณ

มาร์เก็ตติ้งชวนเม้าท์! คำต้องห้าม ระวัง TikTok แบน

TikTok แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มาแรงที่สุดในตอนนี้! บุกตลาด E-commerce ด้วย TikTok Shop ที่ให้ User สามารถช้อปปิ้งได้แบบไม่ต้องออกจากแอปฯ ทำให้ร้านค้าหลาย ๆ ร้านเข้ามีเปิดร้านให้ TikTok กันอย่างมากมาย แต่ต้องใช้คำโฆษณาที่เหมาะสมถ้าไม่อยากโดน TikTok แบนจนร้านอาจจะปลิวได้   TikTok Shop ออกข้อบังคับใหม่เพื่อป้องกันการโหษณาเกินจริง หรือใช้คำโหษณาที่อาจจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งโดยจะบังคับใช้กับ TikTok Shop ใน อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย   การกล่าวอ้างเกินจริงและไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ การใช้คำโฆษณาที่ Over Claim เพื่อทำให้สินค้าน่าสนใจในการขายสินค้า หลีกเลี่ยงการใช้คำ เช่น รักษา ป้องกัน…ถาวร เป็นต้น และการระบุตัวเลขอย่างชัดเจนโดยเฉพาะในกลุ่มสกินแคร์และอาหารเสริม เช่น ลด 10 โลใน 3 วัน เป็นต้น  เช่น  ครีมหน้าเด้ง ไร้สิวใน 3 วัน แชมพูรักษาผมร่วง โลชั่นเร่งผิวขาวถาวร อาหารเสริมลดน้ำหนัก ลด 10 โลแบบไม่ต้องออกกำลังกาย ซึ่งเสี่ยงโดน TikTok แบนเพราะอาจดูเหมือนเป็นการอ้างที่เกินจริง แต่ถ้ามีเอกสารทางการแพทย์หรือเอกสารเพื่อรับรองสรรพคุณสามารถแจ้ง TikTok เพิ่มเติมเพื่อยืนยันสรรพคุณตามที่โฆษณาได้เช่นกัน   การกล่าวอ้างข้อมูลเท็จ สินค้าที่มีตำแหน่งมาการันตีอาจจะช่วยให้สินค้าดูน่าซื้อน่าสนใจยิ่งขึ้น แต่สำหรับการขายสินค้าบน TikTok Shop โดยใช้อันดับการันตีอาจจะทำให้โดนแบนได้แบบไม่รู้ตัวรวมทั้งการ Discredit สินค้าหรือเปรียบเทียบสินค้าประเภทเดียวกันกับแบรนด์อื่น ดังนี้ การกล่าวอ้างที่เป็นเท็จว่าสินค้าที่ได้รับรางวัลหรือมีการรับรองโดยไม่ได้แสดงหลักฐานของรางวัลหรือการรับรองดังกล่าวในเนื้อหา การกล่าวอ้างที่เป็นเท็จว่าสินค้ามีความเกี่ยวข้องกับสินค้าอื่น ไม่อนุญาตให้ลดราคาเป็นอย่างมาก หรือเปรียบเทียบราคาแบบไม่ได้รับการสนับสนุน การกล่าวอ้างราคาต้องมีความเที่ยงตรง รวมถึงราคาโปรโมชั่น การกล่าวอ้างที่เป็นเท็จเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดของสินค้า การกล่าวอ้างที่เป็นเท็จเกี่ยวกับการรับประกันสินค้า การกล่าวอ้างที่เป็นเท็จเกี่ยวกับบริการส่งคืนสินค้าหรือคืนเงินสำหรับสินค้า การกล่าวอ้างที่เป็นเท็จเกี่ยวกับขนาด น้ำหนัก หรือปริมาณของสินค้าที่ขาย การกล่าวอ้างที่เป็นเท็จเกี่ยวกับการจัดส่ง เช่น สัญญาว่าจะจัดส่งฟรีทั้งที่ไม่มีให้บริการ การกล่าวอ้างที่ดูถูกแบรนด์อื่น   บทลงโทษร้านค้าที่ฝ่าฝืนบน TikTok Shop การลบหรือปิดกั้นเนื้อหา ข้อความเตือนอย่างเป็นทางการ การระงับสิทธิ์ของครีเอเตอร์หรือผู้ขาย การลบสินค้าออกจากแพลตฟอร์ม การเพิกถอนสิทธิประโยชน์ของครีเอเตอร์หรือผู้ขายชั่วคราวหรือถาวร การรายงานครีเอเตอร์หรือผู้ขายต่อหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินคดี   ถ้าไม่อยากเสียพื้นที่ทำเงินบน TikTok Shop ไปอย่างน่าเสียดาย ต้องตรวจเช็กการใช้คำโฆษณาอย่างถี่ถ้วนทุกครั้ง หลายคนอาจจะเคยเห้นเคสที่ร้านมีผู้ติดตามหลักแสนแต่โดน TikTok แบนจนช่องปลิวก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว  อยากมีทีมการตลาดคอยช่วยซัพพอร์ตเรื่องการใช้คำโฆษณา การยิงแอดบน TikTok หรือแพบตฟอร์มอื่น ๆ ปรึกษา Crosswalk – Creative Marketing Agency ที่มีครบทุกบริการทางการตลาด พร้อมทีมงานคุณภาพที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี พร้อมสร้าง Branding และวางแพลนการทำการตลาดทั้ง Online และ Offline ให้กับธุรกิจของคุณ

มาเก็ตติ้งชวนเม้าท์! ร้านเล็กแล้วไงก็มัดใจลูกค้าได้นะวิ

การเปิดร้านอาหารในปัจจุบันมีการแข่งขันที่สูงมาก จนร้านเล็ก ๆ บางร้านอาจจะท้อใจ ทำยังไงถึงจะสู้ร้านใหญ่ได้นะ! อยากให้ลูกค้าเทใจมากคงเพิ่งพาแค่รสชาติอร่อย ๆ ไม่ได้แล้ว มันต้องสร้างเทคนิคมัดใจลูกค้าให้อยู่หมัดกันหน่อย   เทคนิคที่ 1 ขยายออเดอร์ร้านด้วยแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ ร้านอาหารยุคนี้ไม่มีไม่ได้เเล้ว เพราะในแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ที่มียอดคนใช้งานหลักล้านในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ร้านอาหารเล็ก ๆ สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ขอบอกว่าไม่ว่าร้านจะอยู่ไกลแค่ไหน ถ้าถูกใจยังไงลูกค้าก็สั่งบบไม่แคร์ค่าส่ง ถือเป็นการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มโอกาสให้ร้านเล็ก ๆ มากขึ้นนะจ๊ะ   เทคนิคที่ 2 โปรโมชั่นเรียกลูกค้าใหม่ เอาใจลูกค้าเก่า โปรโมชั่นที่ 1 มาก่อนเสมอก่อนตัดสินใจสั่ง … ร้านอาหารที่มีโปรโมชั่นดี ๆ ย่อมได้ใจลูกค้ามากกว่า เพราะรู้สึกคุ้มค่าเงินในกระเป๋ามากกว่า แต่อย่าเอาจัดโปรฯหนัก ๆ เพื่อเรียกแค่ลูกค้าใหม่ ๆ เข้าร้านนะ โปรโมชั่นสำหรับลูกค้าที่เคยสั่งออเดอร์ไปแล้วก็สำคัญ เรียกได้ว่าต้องดูแลทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าเก่าให้สั่งออเดอร์ร้านเราไปนาน ๆ นะคะ   เทคนิคที่ 3 มีตัวตนบนโซเชียลมีเดีย มีหน้าร้านและยิ่งต้องมี Social Media ถ้าลูกค้าอยากรู้จักค้นหาร้านที่น่าสนใจ มั่นใจได้เลยว่าเกือบ 100% ต้องกดเข้าค้นหาในโซเชียลมีเดียล ดังนั้นการมีโซเชียลมีเดียเพื่อคอยอัพเดตคอนเทนต์ของร้านให้ลูกค้าสนใจ สำหรับโพสต์อวดเมนูยั่ว ๆ น่ากิน ๆ ให้ลูกค้าอยากลองสั่ง รวมทั้งใช้อัพเดตโปรโมชั่นต่าง ๆ ให้ลูกค้าได้รับรู้ ซึ่งเป็นการตีสนิทกับลูกค้าได้อย่างเนียน ๆ นั่นเอง   เทคนิคที่ 4 ทำโฆษณา โปรโมตร้านกันหน่อย การทำโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียจะช่วยโปรโมตร้านให้ไปเจอกับกลุ่มเป้าหมายที่อาจจะเป็นลูกค้าของร้านได้อย่างตรงกลุ่ม คอนเทนต์ที่ใช้ทำโฆษณาควรเป็นจุดเด่นของร้าน กิมมิกของร้าน หรือเป้นสิ่งที่มีความน่าสนใจดึงดูดให้ลูกค้าสนใจในตัวร้านอาหารนั่นเอง   เทคนิคที่ 5 รวมพลังคนรีวิว ตกลูกค้าใหม่ให้อยากลองเปิดใจ คอนเทนต์ร้านอาหารที่ช่วยเรียกแขกได้มากที่สุดก็ไม่พ้นคอนเทนต์รีวิวอย่างแน่นอน! ยิ่งมีคนรีวิวเยอะร้านอาหารยิ่งน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป้นบรรยากาศของร้าน รสชาติของอาหาร หรือการบริการของร้านนั้นมีผลทุกอย่างต่อการรีวิว สมัยนี้อาจจะไม่เน้นคนดังมารีวิวแต่ขอให้มีคนที่มีผู้ติดตามจำนวนหนึ่งรีวิวในปริมาณพอสมควร ก็ช่วยตกลูกค้าใหม่ให้มาลองชิมได้แล้วจ้า   ร้านจะเล็กแค่ไหนก็ไม่ต้องหวั่น! ยิ่งในยุคการทำการตลาดออนไลน์ให้ร้านอาหารจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แค่ต้องวางแผนให้ดี มีที่ปรึกษาที่เหมาะ รับรองลูกค้าเยอะไม่แพ้ร้านใหญ่ ๆ แน่นอน Crosswalk Agency ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 10 ปี พร้อมช่วยสร้าง Branding วางแพลน Marketing และมีทีม Production คุณภาพให้บริการ

มาเก็ตติ้งชวนเม้าท์! กลยุทธ์การตลาดมัดใจลูกค้าแบบ B2B

จ้าของธุรกิจแบบ B2B ไม่ต้องน้อยใจ ไม่ต้องกลัวตกยุค เพราะการตลาดออนไลน์ก็สามารถใช้โปรโมตธุรกิจได้เหมือนกัน   B2B (Business-to-Business) คืออะไร? คือ การทำธุรกิจที่มีการขายสินค้าหรือบริการ ระหว่างธุรกิจกับองค์กร เพื่อความต้องการทางด้านธุรกิจ ซึ่งใช้เวลาตัดสินใจค่อนข้างนาน เพราะมีมูลค่าในการซื้อขายแต่ละครั้งค่อนข้างสูง อาทิเช่น การซื้อซอฟต์แวร์สำหรับใช้งานภายในองค์กร  ผู้โรงงาน OEM รับผลิตสินค้า บริษัทเอเจนซี่ต่าง ๆ เช่น เอเจนซี่การตลาดฯ โมเดลลิ่งโฆษณา เป็นต้น ธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อทำธุรกิจ   4 การตลาดสไตล์ B2B   Website สำหรับ B2B เว็บไซต์เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากที่จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับตัวธุรกิจ การวางดีไซน์เว็บไซต์ให้สวยงาม ใช้งานง่าย และ Friendly กับทุกเดสท็อป เช่น จอมือถือ แท็ปเลต ไอแพด เป็นต้น รวมทั้งควรมีการอัพเดตเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอด้วยการเพิ่มบทความหรือข่าวสารที่เป้นประโยชน์ ซึ่งบทความที่คีย์เวิร์ SEO สามารถช่วยดันให้เว็บไซต์ค้นหาง่ายติดหน้าแรก มีโอกาสที่องค์กรจะติดต่อเข้ามาสูงกว่านั่นเอง   Social Media ธุรกิจ B2B ก็ต้องใช้โซเชียลมีเดีย เพราะช่วยให้คนทั่วไปเข้าถึงง่าย น่าเชื่อถือ และดูทันสมัย รวมทั้งการทำคอนเทนตืที่มีคุณภาพจะช่วยให้มีกลุ่มคนที่ติดตาม อาจจะไม่ต้องมีทุกแพลตฟอร์มแต่ต้องเลือกแพลตฟอร์มที่เข้ากับตัวธุรกิจมากที่สุด เพื่อสร้างการรับรู้และดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น   Email Email Marketing ช่องทางการติดต่อสื่อสารที่สำคัญในธุรกิจแบบ B2B การส่งอีเมลเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์สินค้าหรือบริการใหม่ของธุรกิจที่ดูน่าเชื่อถือและเป้นทางการไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่เป็นบริษัทหรือองค์กรโดยตรง   Exhinition การออกบูธเป็นการนำเสนอสินค้าหรือบริการของธุรกิจในที่สาธารณะ เพื่อให้ลูกค้าได้ลองสัมผัสสินค้าบริการ ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น รวมถึงเพิ่มโอกาสในการเจรจาและมองหาคู่ค้าทางธุรกิจได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะงานแสดงสินค้ามีความจำเพราะทำให้คนที่เข้ามาในงานมีความสนใจในธุรกิจหรือสินค้าภายในงานอยู่แล้ว   ธุรกิจ B2B เน้นความน่าเชื่อถือและใช้เวลาค่อนข้างนานในการตกลงซื้อสินค้าเพราะมีมูลค่าสูง การทำให้แบรนด์หรือธุรกิจมีความน่าเชื่อถือทั้งโลกออฟไลน์และออนไลน์จึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่อยากตกยุค อยากบุกตลาดให้ทันก่อนใคร … ต้องมีพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญให้คำปรึกษา Crosswalk Agency ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 10 ปี พร้อมช่วยสร้าง Branding วางแพลน Marketing และมีทีม Production คุณภาพให้บริการ

มาเก็ตติ้งชวนเม้าท์! กลยุทธ์การตลาดมัดใจลูกค้าแบบ B2C

อยากทำแบรนด์ อยากเปิดร้านกาแฟ อยากทำร้านชานม .. นี่คือตัวอย่างของธุรกิจแบบ B2C ซึ่งมีจำนวนค่อนข้างเยอะในโลกของธุรกิจ ซึ่งเคล็ดลับที่จะช่วยให้ B2C เติบโตและเป็นที่รู้จักของลูกค้าได้ก็ต้องมีการทำการตลาดที่ดี วันนี้จะมาชวนเม้าท์เคล็ดไม่ลับการทำมาเก็ตติ้งออนไลน์สไตล์ B2C    B2C (Business-to Customer) คืออะไร? การขายของระหว่างเจ้าของธุรกิจกับผู้บริโภค  ซึ่งมีการใช้โซเชียลมีเดียเป็นสื่อการตลาดที่ทำให้การทำธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างไวมาก   4 การตลาดออนไลน์สไตล์ B2C   Content ดี มีชัย เน้นคุณภาพ สร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์หรือธุรกิจให้เป็นประโยชน์ให้กับผู้คน จะทำให้มีคนติดตามคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียหรือเว็บไซต์ของแบรนด์เป็นประจำ  คอนเทนต์บทความ – สำหรับธุรกิจหรือแบรนด์ที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง การเขียนบทความที่เป็นประโยชน์จะช่วยเพิ่มปริมาณคนเข้ามาบนเว็บเยอะและบ่อยขึ้น อาจจะทำให้เว็บไซต์ติด Top การค้นหาได้ ซึ่งสามารถนำคีย์เวิร์ด SEO มาใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการค้นหาง่ายขึ้นได้ คอนเทนต์ Short VDO – คอนเทนต์ที่มาเเรงที่สุดในตอนนี้ ยิ่งสามารถย่อยเนื้อหาให้เข้าใจง่าย สั้นกระชับ หรืออาจจะใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ เช่น Speed หรือลด Slow-down ยิ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้คอนเทนต์   2. E-commerce ธุรกิจแบบ B2C เป็นธุรกิจที่เหมาะกับการทำ Ecommerce อย่างมาก ยิ่งในปัจจุบันมี Marketplace หลายแพลตฟอร์มให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้อย่างง่ายดาย เช่น Shopee, Lazada เป็นต้น หรือถ้าเป็นร้านอาหารก็มีแพลตฟอร์ม Food Delivery รองรับเช่นกัน ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายยิ่งขึ้นและเพิ่มยอดขายได้อีกด้วย   3. Promotion ลด แลก แจก แถม แบบ Old-School การตลาดด้วยการทำโปรโมชั่น ลดราคาสินค้า ยังคงกระตุ้นความสนใจและทำให้ลูกค้าตัดสินใจในการซื้อสินค้าหรือบริการได้เร็วขึ้นเสมอ โปรโมชั่นประจำเดือน เช่น 4.4, 9.9, 10.10 เป็นต้น ยิ่งมีการโปรโมตหรือยิงโฆษณาล่วงหน้าเพื่อให้ลูกค้าได้เตรียมตัวเหมือนลงสนามแข่งขันในการช้อปปิ้ง ยิ่งช่วยเพิ่มยอดขายในวันที่ทำโปรโมชั่นได้ยิ่งขึ้น   4. รีวิวสินค้า การทำคอนเทนต์รีวิวสินค้าเป็นคอนเทนต์ที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และโน้มน้าวใจลูกค้าให้ลองซื้อสินค้าได้ดีที่สุดเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการรีวิวจากลูกค้าจริง รีวิวจากเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ตั้งแต่ Micro-Influnecer  ไปจนถึง Mega-Influnecer รวมทั้งจากศิลปินที่มีกลุ่มแฟนคลับ นอกจากนั้นยังเป็นการโปรโมตสินค้าเพื่อขยายฐานลูกค้าให้กล้างขึ้นอีกด้วย   ธุรกิจ B2C เป็นการขายให้กับลูกค้าโดยตรง จึงเน้นขายไวและตัดสินใจเร็ว แบรนด์หรือเจ้าของธุรกิจต้องสร้างสิ่งจูงใจหรือดึงดูดใจลูกค้าให้สนใจ และตัดสินใจซื้อสินค้าของแบรนด์ ซึ่งสามรถนำการตลาดทั้ง 4 ข้อไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับธุรกิจของตัวเองได้ หรือต้องหารทีมที่ปรึกษาเรื่องการตลาดออนไลน์ Crosswalk Agency ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 10 ปี พร้อมช่วยสร้าง Branding วางแพลน Marketing และมีทีม Production คุณภาพให้บริการ

มาเก็ตติ้งชวนเม้าท์! ดูให้ออกยอด REACH vs ยอด IMPRESSIONS

ทำงานยังต้องวัด KPI สำหรับการตลาดออนไลน์นั้นไซร์ต้องมี Insight มาวัดผลเช่นกันจ้า สำหรับคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียนั้นมีเกณฑ์วัดที่คุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่ 2 ยอด คือยอด Reach กับยอด Impressions ที่หลายคนก็อาจจะยังสับสนว่าเจ้า 2 ยอดนี้นั้นต่างกันยังไงเอ่ย??   ยอด Reach คือ ยอดที่แสดงจำนวนคนทั้งหมดที่เจอคอนเทนต์หรือโพสต์ ไม่ใช่จำนวนครั้งที่เห็นนะจ๊ะ    ยอด Impressions คือ ยอดที่จำนวนการมองเห็นทั้งหมดที่เห็นคอนเทนต์หรือโพสต์ ไม่ใช่จำนวนคนแต่เป็นจำนวนครั้งจ่ะ    คุณ A โพสต์คอนเทนต์ลงเพจ ได้ REACH 20 ยอด และ Impressions 200 ยอด แปลว่าโพสต์ของคุณ A นั้น มีคนเห็นจำนวน 20 คน มีคนดูจำนวน 200 ครั้ง   ลูกค้าหรือคนส่วนใหญ่จะสับสนระหว่างยอด Reach กับยอด Impressions เพราะมีความคล้ายกันอย่างมากกกกกกกกกกก   ยอด REACH 2 ประเภท 1. ยอด Organic Reach – เป็นเครื่องชี้วัดว่าโพสต์นั้นเป็นคนเทนต์ที่ดี เป็นที่ถูกใจคนกลุ่มใหญ่ทำให้มี Engagments เยอะ จนมีคนเห็นและให้ความสนใจมากขึ้นเองโดนไม่ต้องเสียเงินยิงแอด   2. ยอด Paid Reach – ยอดที่เกิดจากการโฆษณาที่ต้องจ่ายเงิน ซึ่งสามารถระบุ Target หรือกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงกลุ่ม มีแนวโน้มว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าหรือเป้าหมายที่เราต้องการจริง ๆ รวมทั้งได้ข้อมูลตัวชี้วัดต่าง ๆ เพิ่มเติม นำมาคำนวณต้นทุนหรือปรับกลยุทธ์ในการทำคอนเทนต์ของแบรนด์ต่อไปในอนาคตได้นั่นเอง   การทำการตลาดบนโซเชียลมีเดียไม่ใช่แค่ต้องโพสต์เยอะ ๆ เท่านั้น แต่คุณภาพของคอนเทนต์ที่เผยแพร่และกลยุทธ์ในการยิงแอดก็มีความสำคัญต่อผลลัพท์เช่นกัน อยากทำการตลาดออนไลน์ให้ปังต้องมีกุนซือที่ดีให้คำปรึกษา อยากให้แบรนด์ติดหู สินค้าติดตลาด มีอินฟลูฯ รีวิว Crosswalk Agency พร้อมลุย!  Crosswalk Agency ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 10 ปี พร้อมช่วยสร้าง Branding วางแพลน Marketing และมีทีม Production คุณภาพให้บริการ

มาร์เก็ตติ้งชวนเม้าท์! Green Marketing การตลาดแบบรักษ์โลก

ยุคดิจิตัลที่มีเทคโนโลยีก้าวไกลแต่ยังมีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมอย่างหนัก ทำให้เกิดแนวคิดเรื่อง Green Marketing เป็นไอเดียในการทำการตลาดเกิดขึ้น เพื่อแบรนด์หรือสินค้าเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการ #รักษ์โลก และผู้บริโภคก็มีส่วนร่วมในแนวทางนี้ด้วยกัน   Green marketing (การตลาดสีเขียว) คืออะไร? กรีนมาเก็ตติ้งเป็นกลยุทธ์การตลาดที่เน้นการสร้างและการโฆษณาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีผลกระทบต่ำต่อสิ่งแวดล้อม โดยให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการป้องกันการทำลายสิ่งแวดล้อม   อยากจะเม้าว่า Green Marketing มีมานานมากแล้ว และยังคงเป็นคอนเซ็ปต์การตลาดที่ถูกแบรนด์ต่าง ๆ หยิบยกเอามาใช้สื่อสารกับผู้บริโภคเรื่อย ๆ ทำให้การทำการตลาดแบบรักษ์โลกนั้นไม่ใช่เทรนด์ประเดี๋ยวประด๋าว แต่เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่จริงจัง   ไอเดียทำการตลาด Green Marketing Eco-Friendly Material  หลาย ๆ แบรนด์ให้ความสำคัญกับวัสดุที่ใช้ พร้อมทั้งนำมาเป็นจุดขายของแบรนด์เพิ่ม Gimmic และความน่าสนใจให้สินค้า เช่น แพกเกจจิ้งที่ย่อยสลายได้เอง การนำบรรจุภัณฑ์มาไปใช้ซ้ำ การนำไป DIY เพื่อใช้งานอื่น ๆ เป็นต้น   Green Promotion อาจจะส่งเสริมแคมเปญ Green Marketing ด้วยโปรโมชั่นดี ๆ อย่างการแจกส่วนลด หรือเพิ่มแต้มสะสมพิเศษ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้บริโภคอยากมีส่วนร่วม เช่น นำแพกเกจจิ้งมารีไซเคิลที่ร้านได้รับส่วนลด 10%, นำแก้วมาใช้ซ้ำได้แต้มสะสมพิเศษ, เอาขวดเปล่ามาแลกชิงโชคลุ้นร่วมกิจกรรมกับพรีเซ้นเตอร์ เป็นต้น   Green Activities นอกจากเรื่อง Branding แล้วแบรนด์ก็ยังสามารถสร้างกิจกรรมทางการตลาดเพื่อให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับ Green Activities ได้ด้วย เช่น การจัดงานวิ่งมาราธอนเพื่อส่งเสริมสิ่งแวดล้อม กิจกรรมทำภารกิจปล่อยเต่าสู่ทะเล เป็นต้น ซึ่งอาจจะเพิ่มความน่าสนใจให้กิจกรรมด้วยนำ Magnet อย่างดารา อินฟลูฯ หรือพรีเซ็นเตอร์มาร่วมกิจกรรมนี้ด้วย   กำลังมองหาทีมการตลาดเพื่อสร้างเพิ่มพื้นที่ตลาดให้กับแบรนด์ ติดต่อ Crosswalk Agency มีครบทุกบริการทางการตลาดทั้งออนไลน์, อีเวนต์ และออฟไลน์ การันตีทีมงานคุณภาพที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี พร้อมช่วยสร้าง Branding วางแพลน Marketing และมีทีม Production คุณภาพให้บริการ

มาเก็ตติ้งชวนเม้าท์! รู้จัก ROAS vs ROI ค่าวัดผลที่แตกต่างกัน

หลายคนรู้จักว่าการยิงแอดโฆษณาคืออะไร…แต่ไม่รู้จักค่าวัดผลของโฆษณาที่ยิง ทำให้เจ้าของแบรนด์หรือนักการตลาดบางคนก็ไม่รู้ว่าโฆษณาที่ยิงไปมีประสิทธิภาพที่ดีมั้ย? ค่า ROAS เป้นเครื่องมือที่จะช่วยวัดผลประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาของเรา แต่มักจะมีค่าที่คล้าย ๆ กันตีคู่มาด้วยกันเสมอนั่นก็คือค่า ROI แล้วทั้ง 2 ค่านี้แตกต่างกันยังไง? Cross walk จะมาเม้าให้ฟังวันนี้ค่าาาา   ROAS (Return on Advertising Spend) คืออะไร? : ROAS คือ ตัวชี้วัดที่ใช้วัดประสิทธิภาพของการลงทุนในการโฆษณา   หลักการคำนวณ “ROAS= ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา ÷ รายได้จากการโฆษณา” ​ ROAS 1.0 หมายถึง สำหรับทุนที่ลงทุน 1 หน่วยทำให้ได้รายได้ 1 หน่วย ตัวเลข > 1.0 = มีกำไร ตัวเลข < 1.0 = ขาดทุน   ตัวอย่าง A ลงทุนในการโฆษณา 1,000 บาท และได้รายได้จากการโฆษณานั้นเป็น 3000 บาท = ROAS ของ A คือ 3.0 (3,000 ÷ 1,000) = ได้กำไร   ค่า ROAS เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวัดประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาและช่วยบริหารงบประมาณโฆษณานั่นเอง   ROI (Return on Investment) คืออะไร? : ROI คือ ตัวชี้วัดทางการเงินที่ใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพของการลงทุน   หลักการคำนวณ ROI = [(กำไร – ทุนลงทุน) ÷ ทุนลงทุน] x 100   ผลค่า ROI เป็นบวก = กำไร ผลค่า ROI เป็นลบ = ขาดทุน   ตัวอย่าง A ลงทุน 1,000 บาท และได้รับกำไร 3000 บาท = ROI ของ A คือ 200% [(3000 – 1000) ÷ 1000] x 100 = มีกำไร   สรุปก็คือทั้งค่า ROAS (Return on Advertising Spend) และ ROI (Return on Investment) นั้นเป็นค่าวัดผลทางการตลาดที่ใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพของการลงทุน แต่มีความแตกต่างในวิธีการคำนวณและจุดประสงค์ ROAS วัดผลประสิทธิภาพการตลาดจากการลงทุนและกำไรในการยิงโฆษณา ROI วัดผลดทางการเงินว่าได้กำไรหรือขาดทุนจากการลงทุนทั้งหมด   อยากสร้างแคมเปญโฆษณาที่มีประสิทธิภาพดี ๆ ให้ได้ค่า ROAS เป็นบวกสูง ๆ ติดต่อ Crosswalk Agency มีครบทุกบริการทางการตลาด พร้อมทีมงานคุณภาพที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี พร้อมช่วยสร้าง Branding วางแพลน Marketing และมีทีม Production คุณภาพให้บริการ